ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สิทธิขั้นพื้นฐานที่หายไปของเด็ก...ลูกแรงงานข้ามชาติ อ่านต่อได้ที่ : https://www.ryt9.com/s/tpd/2883642

สถานประกอบการของไทยหลายแห่งยังคงต้องการแรงงานต่างด้าว เพราะประเทศไทยขาดแคลนแรงงานหลายระดับ ส่วนแรงงานต่างชาติเองก็ต้องการได้ค่าแรงในประเทศไทยซึ่งมากกว่าการทำงานในประเทศตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีประชากรต่างด้าวจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย เพื่อขายแรงงาน โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล คาดการณ์ว่าในเดือนธันวาคม ปี 2558 ไทยมีจำนวนประชากรแรงงานข้ามชาติรวมทั้งผู้ติดตามที่อาจจะเป็นสามีภรรยา ลูก รวมแล้วประมาณ 4,551,049 คน มากที่สุดคือ แรงงานประเทศเมียนมา จำนวน 2,782,880 คน รองลงมาคือ กัมพูชา 454,000 คน และลาว 281,971 คน ในจำนวนนี้แบ่งเป็นผู้ติดตามทั้งหมดประมาณ 1,032,198 คน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติ มีจำนวนเด็กที่เกิดจากแรงงานต่างด้าว ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ามีจำนวนที่แน่นอนเท่าไหร่ เพราะยังมีการสำรวจไม่ทั่วถึงครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีเด็กที่เป็นลูกแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ทำให้ไม่กล้าไปแจ้งเกิดบุตร ตลอดจนไม่มีความรู้เรื่องการแจ้งเกิด

ทางด้านรัฐบาลไทยระบุว่า เด็กข้ามชาติ เป็นเด็กด้อยโอกาสและเปราะบางที่สุดในประเทศ และเด็กข้ามชาติจะมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษหากไม่มีการจดทะเบียนแจ้งเกิด ทำให้ไม่มีอัตลักษณ์ ส่งผลให้ไม่สามารถได้รับสิทธิพื้นฐานเพื่อเข้าถึงบริการต่างๆ เช่น ด้านเสียงมากยิ่งขึ้นต่อการถูกกระทำในทุกรูปแบบ รวมถึงการทารุณกรรม ความรุนแรง และการค้ามนุษย์

ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนจากสหภาพยุโรป (EU) จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล SEA Junction กองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ศุภนิมิตราชอาณาจักร และมูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท จัดประชุมสัมมนานานาชาติ เรื่อง "การจดทะเบียนเกิด ประเด็นทางสุขภาพและประเด็นทางสังคมของแรงงาน" เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญและแนวคิดสำหรับสถานการณ์ประชากรข้ามชาติชาวเมียนมาในไทย ในวันที่ 23-25 สิงหาคมที่ผ่านมา

ฯพณฯ เอกอัครราชทูตเปียร์ก้า ตาปิโอลา เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป (EU) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญในการเสริมสร้างภาคประชาสังคม ในการดำเนินงานเรื่องของสิทธิเด็กซึ่งเป็นประชากรข้ามชาติ ให้ได้รับสิทธิในการจดทะเบียนแจ้งเกิดเพื่อให้ได้ตามกฎหมายในด้านต่างๆ อย่างถูกต้อง หวังว่าภาคประชาสังคมและภาครัฐ จะมีการสนับสนุนแรงงานต่างชาติในไทยอย่างสมดุล

นายสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่นสภาทนายความ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายการจดทะเบียนเกิดของเด็กข้ามชาติว่า เด็กที่เกิดในประเทศไทยและไม่ได้สัญชาติไทยตามหลักดินแดน มี 3 กลุ่ม ประกอบด้วย  1.กลุ่มบุคคลที่รัฐผ่อนผันให้อยู่ในประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย เช่น แรงงานต่างด้าว ชาวเขา ฯลฯ 2.กลุ่มคนที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายชั่วคราว ได้แก่ บุคคลที่ถือวีซ่าหรือพาสปอร์ตเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ไม่ว่าจะมาทำงาน ท่องเที่ยว ฯลฯ และ 3.กลุ่มคนที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย หากให้กำเนิดบุตรในประเทศไทยจะไม่ได้สัญชาติไทยตามหลักดินแดน แต่ทางรัฐจะดำเนินการจดทะเบียนการเกิด เพื่อให้สิทธิด้านมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เช่นด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ

สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ให้กำเนิดบุตรแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกที่ให้กำเนิดบุตรในโรงพยาบาล สามารถให้ทางโรงพยาบาลออกหนังสือรับรองการเกิด ท.ร.1/1 เป็นหลักฐานนำไปแจ้งเกิดที่หน่วยงานที่รับผิดชอบได้เลย กลุ่มที่สอง ให้กำเนิดบุตรนอกโรงพยาบาล ก็สามารถแจ้งกับผู้ใหญ่บ้านให้ออกหนังสือ ท.ร.1 ตอนหน้า หรือไปที่ทางอำเภอได้โดยตรง ที่ในขั้นตอนการดำเนินการอาจจะต้องพิสูจน์ความเป็นตัวตน และในกรณีเด็กที่ถูกทอดทิ้งหลังคลอด ก็จะถูกส่งไปยังสถานสงเคราะห์ของรัฐ และจะได้รับการแจ้งเกิดหรือได้รับสัญชาติไทย เพราะเด็กเหล่านี้ไม่มีพ่อแม่ที่จะมายืนยันตัวตนได้ แต่ปัญหาของแรงงานคือ ความกลัวกฎหมาย การขาดความรู้ การเดินทาง การเงิน และทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐ

สุรพงษ์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า หากลูกของแรงงานต่างด้าวมีการจดทะเบียนเกิดครบทุกคน ก็จะทำให้ประเทศไทยสามารถทราบจำนวนผู้อยู่อาศัย และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด ซึ่งในตอนนี้ก็พยายามแก้ไขปัญหาเด็กไร้สัญชาติด้วย โดยตามหลักการทั่วโลกได้ระบุว่า คนหนึ่งคนจะต้องมีการดูแลและคุ้มครองจากรัฐอย่างน้อยหนึ่งรัฐ แต่ในปัจจุบันการให้สัญชาติไทย มีเงื่อนไขคือ หากเกิดในไทย พ่อแม่อาศัยอยู่ในไทยและไม่เคยกลับประเทศต้นทาง หรือไม่เคยไปพิสูจน์สัญชาติเลย และเรียนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี แต่หากไม่เรียนจบปริญญาก็ต้องมีความรู้ ความสามารถที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย เช่น หม่อง ทองดี แต่ก็ต้องผ่านเงื่อนไขตามกระบวนการที่ทางรัฐกำหนดซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ด้านลัดดาวัลย์ หลักแก้ว ผู้จัดการโครงการมูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท ให้ความเห็นด้านการศึกษาที่เด็กข้ามชาติควรจะได้รับ ว่า นโยบายระหว่างประเทศการศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรจะได้รับตามหลักสิทธิมนุษยชน และกฎกติการะหว่างประเทศ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG 2558-2573) เป้าหมายที่ 4 รับรองการศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึง และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ทุกคนในประเทศไทย ตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และรัฐธรรมนูญมาตรา 10 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยรัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และมาตรา 12 ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง กฎกระทรวง ว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ.2555

และสาระสำคัญคือ ขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่ทุกคนที่อาศัยในประเทศ จัดสรรงบประมาณอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในอัตราเดียวกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จัดสรรให้แก่เด็กไทย กระทรวงมหาดไทยสำรวจจำนวนนักเรียน นักศึกษาที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนฯ เพื่อจัดทำฐานข้อมูล (เลขประจำตัว 13) รวมทั้งกรณีมีกฎหมายควบคุมเฉพาะให้จำกัดพื้นที่อยู่อาศัยสามารถเดินทางไปศึกษาได้ เป็นระยะเวลาตามหลักสูตรการศึกษาระดับนั้น โดยไม่ต้องขออนุญาตเป็นครั้งคราว และให้กระทรวงศึกษาธิการจัดการศึกษาในรูปแบบที่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชนที่หนีภัยจากการสู้รบ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ได้รับการศึกษาแบ่งเป็น การศึกษาในระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบ (กศน.) และศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ (Migrant Learning Center)

ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ผู้อำนวยการมูลนิธิศุภมิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้มีการแก้ปัญหาเด็กที่เกิดจากแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาในพื้นที่จังหวัดระนอง จังหวัดชุมพร และจังหวัดตาก (อ.แม่สอด) ซึ่งมีแรงงานที่เป็นผู้ใหญ่ประมาณ 108,345 คน และเด็กประมาณ 4,772 คน ภายใต้โครงการ เสริมสร้างพลังความเข้มแข็งให้องค์กรภาคประชาสังคม เพื่อการปกป้องคุ้มครองเด็กข้ามชาติ ในระยะเวลาการดำเนินงาน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2559-2562 โดยผลของการดำเนินงานในปี 2559 มีเด็กรับการจดทะเบียนเกิดแล้ว 29 คน และในปี 2560-2561 ประมาณ 301 คน และมีแรงงานที่เข้าถึงและเข้าใจในการปฏิบัติตามกฎหมายแล้วประมาณ 74,000 คน นับว่าเป็นผลที่ประสบความสำเร็จในส่วนหนึ่ง ซึ่งก็ต้องได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องด้วย หวังว่าองค์กรภาคประชาสังคมไทยจะสามารถสนับสนุนให้เด็กข้ามชาติได้รับอัตลักษณ์ทางกฎหมายและสามารถเข้าถึงสิทธิที่ควรจะได้รับอย่างถูกต้อง.

บรรยายใต้ภาพ
ลงพื้นที่ใน อ.แม่สอด จ.ตาก
ให้ความรู้ในเรื่องการจดทะเบียนเกิดและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
องค์กรในการร่วมจัดประชุมสัมมนานานาชาติ
บรรยากาศในการประชุม ชาวเมียนมาร่วมออกความเห็น

อ่านต่อได้ที่ : https://www.ryt9.com/s/tpd/2883642




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บริษัทจัดหาแรงงานต่างด้าวพะเยา

บริษัทจัดหาแรงงานต่างด้าวพะเยา

ขั้นตอนและเอกสารการดำเนินการศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) แรงงานต่างด้าว

สนใจนำเข้าแรงงานต่างด้าว คลิ๊ก ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่:https://www.doe.go.th/prd/alien/service/param/site/152/cat/17/sub/0/pull/detail/view/detail/object_id/465 ขั้นตอนและเอกสารการดำเนินการศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) คู่มือแนวทาง แนวทางในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 สำหรับเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ OSS และ ศปก.บต. ขั้นตอนการดำเนินการในศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS) รหัสประเภทกิจการ ระบบสารสนเทศแรงงานต่างด้าว แผนที่ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ OSS กรุงเทพมหานคร แบบฟอร์ม แบบกรอกข้อมูลทางทะเบียนประวัติของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ตามมติ ครม. วันที่ 16 มกราคม 2561 (ท.บ.1) แบบกรอกข้อมูลทางทะเบียนประวัติผู้ติดตาม อายุต่ำกว่า 18 ปี เฉพาะผู้ติดตามแรงงาน ตามมติ ครม. วันที่ 16 มกราคม 2561 (ท.บ.2) สถานที่ตั้งศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) กรุงเทพ ฯ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก เพชรเกษม ชัยนาท เชียงราย...